เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมเนาะ สัจธรรมมันเป็นความจริง เราเป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรม เพราะชีวิตเราหมุนไปในวัฏฏะ ดูสุนัขสิ หมามันเกิดๆ จากธรรมชาติของมัน มนุษย์ก็เกิดเหมือนกัน เทวดา อินทร์ พรหมก็เกิดเหมือนกัน แต่จิตหนึ่ง จิตดวงนั้นเวียนตายเวียนเกิดไป ขณะเวียนตายเวียนเกิดมา เห็นไหม นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดในประเทศอันสมควร ในประเทศอันสมควรหมายถึงว่าสภาวะแวดล้อมมันดีมาก
คำว่าดีมากนะ สภาวะแวดล้อมดีมากมันอุดมสมบูรณ์ การเกิด เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเราขยันหมั่นเพียรสิ่งนี้ไม่ขาดแคลน แต่สิ่งที่มันขาดแคลนเพราะเราไม่หมั่นเพียรของเรา ประเทศอันสมควร เมื่อก่อนป่าเขามันให้ทรัพยากรเรามาก แต่เพราะป่าเขา สิ่งต่างๆ มันปรับตัวมานะ ถ้าป่าเสื่อมโทรมเราปล่อยมัน มันจะฟื้นตัวมันเอง แต่เพราะคนไปใช้ทรัพยากรมาก เราใช้มากเกินไป พอเราใช้มากเกินไปมันฟื้นตัวไม่ทัน
สิ่งในหัวใจเราก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราเป็นคนดีๆ สิ่งนี้ถ้ามันมีสติปัญญามันปรับตัวมันได้นะ ในใจของเราทุกคนอยากเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ แต่เพราะความโลภไง ความโลภ ความต้องการ นี่ตัณหาความทะยานอยาก ถ้าตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม ตัดป่า เราใช้สอยทรัพยากรจนมากมายมหาศาล จนป่านั้นเสื่อมโทรมไปหมดเลย
ชีวิตเราเกิดมานี่เราเกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นชาวพุทธนะ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสัจธรรม สอนเรื่องการเกิดและการตาย ศาสนาอื่นๆ ลัทธิอื่นๆ เขาสอนกันไปเขาก็สอนว่าให้ขอเอา ให้อ้อนวอนเอา ให้ทำให้พอใจกับผู้นำ แต่ในพุทธศาสนาไม่สอนอย่างนั้น ในพุทธศาสนาไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเราพูด แต่ถ้าไม่ให้เชื่ออาจารย์พูดแล้วเราจะปฏิบัติของเราได้อย่างไร?
ไม่ให้เชื่อนะ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย ให้เชื่อสัจจะความจริง สัจจะความจริงหมายถึงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ที่เริ่มเป็นอนุบาล เริ่มฝึกหัด การเริ่มฝึกหัดเราก็จะตื่นเต้นไปกับความรู้ความเห็นของเรา แต่พอเราเติบโตขึ้นไป เห็นไหม สติปัญญาของเราจะกว้างขวางขึ้นไปมากขึ้น พอสติปัญญาเรากว้างขวางขึ้นไปมากขึ้น เราก็มหัศจรรย์กับความรู้ความเห็นของเรานะ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก ความมหัศจรรย์มันจะมีมากกว่านี้อีกมหาศาล มีมากกว่านี้มหาศาลเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่มันอยู่จิตใต้สำนึก
เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า อวิชชาเกิดจากฐีติจิต
อวิชชามันอาศัยบนที่ใด? เห็นไหม มาร มารมันอาศัยอยู่ที่ใดที่อาศัยของมัน มารมันก็อาศัยภวาสวะ อาศัยภพ อาศัยที่อยู่ของมัน เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในสภาวะแวดล้อมที่ดี เกิดในสังคมที่ดี เกิดต่างๆ ที่ดี คำว่าดีของเรานะ ดีของเราให้เปรียบเทียบกับสังคมทั่วโลก คำว่าดีของเรา แต่เวลาเราไปอยู่สังคมใดเราก็ว่าสังคมนั้นเบียดเบียน สังคมนั้นเห็นแก่ตัว สังคมนั้นเอาเปรียบทั้งนั้นแหละ เพราะสังคม เราก็เป็นหนึ่งในสังคมนั้นแหละ แต่ความรู้สึกนึกคิดของคนมันแตกต่างหลากหลาย
ฉะนั้น เราเกิดในสังคมที่ดี เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควร แต่เพราะมันมีกิเลสไง มีตัณหาความทะยานอยากของเรา เราคาดหมายของเราไปมหาศาลไง พอเราคาดหมายมหาศาล สิ่งนี้มันกลับมาบีบคั้นเราไง ไม่ได้ดั่งใจๆ ถ้าไม่ได้ดั่งใจ เห็นไหม ป่านะปล่อยมัน ไม่ไปทำลายมัน มันจะฟื้นฟูตัวมันขึ้นมา ถ้าฟื้นตัวมันขึ้นมา ป่าเขามันเป็นที่พึ่งอาศัย จิตใจของเรามันมีคุณค่าของมัน มีคุณค่าของเราเองอยู่แล้ว แต่หัวใจของเรามันสิ่งที่มีมารครอบงำ เพราะกิเลสอวิชชาเกิดบนฐีติจิต
อวิชชา เห็นไหม ความคิดเกิดบนไหน? ความคิดก็เกิดบนความรู้สึกของเรา ความคิดกับความรู้สึก ความรู้สึกมันความรู้สึกรับรู้ แต่ความคิดมันคิดออกไปร้อยแปดพันเก้าเลย เห็นไหม อวิชชามันก็เกิดบนฐีติจิต มันเกิดบนหัวใจของเราทั้งนั้นแหละ ทีนี้มันเกิดบนหัวใจของเรา หัวใจของเราทุกคนทำดีและทำชั่ว มันหมุนไปในวัฏฏะ สิ่งที่หมุนไปในวัฏฏะนี่เวียนตายเวียนเกิด หมุนไปในวัฏฏะมีกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีกรรมชั่วมันเกิดขึ้นมา ความคิดมันก็มีดีและชั่ว มีดีและชั่ว ความคิดที่ดีล่ะ?
ความคิดที่ดีนะ ถ้าความคิดที่ดีมันไม่มีผลข้างเคียง ความคิดที่ดีเวลาเกิดขึ้นมากับเรามันมีความอบอุ่นกับมัน แต่ความคิดที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมีแต่ความเร่าร้อน สมุทัย มันต้องการ มันมีพลังงาน มันขับเคลื่อนของมันไป มันมีแต่ความเร่าร้อน ถ้าความเร่าร้อนนะ แล้วคิดดีทำอย่างไรล่ะ? คิดดีต้องมีสติ ถ้าเรามีสติยับยั้งความคิด สิ่งนั้นคิดด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่ไม่ดีเราวางไว้ สิ่งไม่ดีวางไว้ สิ่งใดที่มันดี ชีวิตนี้เกิดมานี่เกิดมาเพราะอะไร? เกิดมาเพราะมันต้องเกิด เกิดมาเพราะมันมีอวิชชาไง มันต้องเกิด มันมีแรงขับของมันต้องเกิดอยู่แล้ว
แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์มีร่างกายและจิตใจ จิตใจก็คิดไปร้อยแปด แต่ร่างกายนี้มันต้องมีปัจจัย ๔ ปัจจัยนะ นี่ปัจจัยเครื่องดำรงชีวิต ชีวิตนี้มันดำรงอยู่ได้ ดำรงอยู่ได้เพื่ออะไร? ดำรงอยู่ได้เพื่อฝึกหัดใจเรานี่ไง ดำรงอยู่ได้เพื่อให้ใจเราได้เปรียบเทียบ ได้ฝึกหัดว่าโลกนี้มันมีอะไร? โลกนี้มันมีสิ่งใดบ้างที่เรายังสงสัยมันอยู่? โลกนี้เวียนเกิดเวียนตายนะ สิ่งที่เรารื้อค้นสิ่งนั้น เราเคยเกิดมาชาติที่แล้วเราทำไว้ แล้วเราเกิดมาชาตินี้เรามาศึกษาสิ่งที่เราค้นคว้าไว้บ้างหรือเปล่า? เรารู้ไหม? เราก็ไม่รู้หรอก แต่สิ่งที่เราทำไว้ล่ะ?
สิ่งที่เราทำไว้ เห็นไหม เวียนเกิดเวียนตาย โลกมันมีแบบนี้ เกิดมาศึกษาชีวิตของเรา ถ้าศึกษาชีวิตของเรานะ เวลานักปฏิบัติให้นึกถึงมรณานุสติ ระลึกถึงความตาย ถ้าระลึกถึงความตายนะ จิตใจถ้าคนมีอำนาจวาสนา พอระลึกถึงความตายนะมันหยุดไง สิ่งที่มันเป็นความเร่าร้อน สิ่งที่มันเผาลนเรานะ นี่มันเผาลนเราเพราะเราตามมันไป พอบอกว่าเราจะต้องตายแล้ว คือว่าเราจะไม่ตามมันไป เราจะไม่ให้มันเผาเราไง
ถ้าเราคิดตามมันไป แล้วมันไม่สมความปรารถนา คิดแล้วมีความรู้สึกวิตกกังวลมันก็แผดเผาเรา เราต้องแสวงหา ต้องทำให้ได้อย่างนั้น ถ้าบอกเราจะตาย นี่มรณานุสติ คนต้องตายๆ คนต้องตาย มันที่อยู่นี่มันก็พออยู่พอกิน มันก็พอใช้พอสอย มันก็อยู่ของเราได้แล้วแหละ ชีวิตมันก็มีเท่านี้แหละ ถ้าชีวิตมีเท่านี้ ความคิดมีสติมันก็หยุดแล้ว หยุดอะไร? หยุดตัณหาความทะยานอยาก สมุทัย สิ่งที่มันคิด คิดแล้วไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งใจ นี่มันแผดเผา
ถ้ามันแผดเผา นี่ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดหนึ่งมันไม่มีตัณหาความทะยานอยาก มันไม่มีสิ่งที่แผดเผา ความคิดหนึ่งมันมีตัณหาความทะยานอยากแผดเผา อวิชชาเกิดบนฐีติจิต ฉะนั้น เวลาความคิดมันเกิดออกไป อวิชชามันก็ตามออกไป แต่ถ้ามีสติยับยั้ง เห็นไหม มันยับยั้งสิ่งนี้ไว้ ยับยั้งสิ่งนี้ไว้ เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เกิดในสภาวะแวดล้อมที่ดี ยิ่งสมัยโบราณสภาวะแวดล้อม น้ำ บรรยากาศนี่ดีมาก เพราะคนมันยังน้อยอยู่ แต่คนมันมากขึ้นมามันก็แย่งกันกินแย่งกันใช้ สภาวะแวดล้อมมันก็เปลี่ยนแปลงไป
จิต! จิตเวลามันเกิดขึ้นมามันก็มีความรู้สึกนึกคิดที่ดีๆ นี่แหละ แต่พอเราศึกษา เราศึกษาทางโลก เราศึกษาแต่เรื่องสภาวะแวดล้อมจากภายนอก ต้องแข่งขันๆ การแข่งขันนี้แข่งขันหาปัจจัย ๔ มาเพื่อดำรงชีวิต เห็นไหม คนเราต้องมีความมุมานะ เราต้องมีความขยันหมั่นเพียร ถ้าคนมีความขยันหมั่นเพียร ทำงานสิ่งใดนะมันไม่ขัดสนหรอก มันพออยู่พอกิน มันเป็นไปได้แหละ แต่ถ้ามันมีตัณหามาเผาลนมันล่ะ?
ถ้าคนเรามันมีความหมั่นเพียรมันไม่ขัดสนแล้ว เห็นไหม เวลามาประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องอาศัยความหมั่นเพียร ความหมั่นเพียรนะ ความสังเกต ความมีสติมันสังเกตใจเรา คิดอย่างนี้ถูกต้องไหม? คิดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง การคิดอย่างนี้มีสติปัญญาควบคุมอย่างนี้ นี่พุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขารมันจะเกิดขึ้นไง
ปัญญาอย่างนี้ปัญญาโลกนะ ปัญญาโลกหมายถึงว่าไม่มีขอบเขต เราคิดของเราไปเรื่อยเฉื่อย แต่ถ้าปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร ในกองสังขาร ความคิดมันมีปัญญาครอบงำมันไว้ ครอบคลุมไว้ว่าไม่ให้คิดนอกเรื่องนอกราวจนเกินไป ถ้าคิดนอกเรื่องนอกราวเกินไป นี่คิดชั่ว คิดชั่วหมายถึงคิดแต่สิ่งที่เอาแต่ฟืนแต่ไฟมาแผดเผาตัวเราเอง คิดดี คิดดี เห็นไหม ชีวิตนี้เป็นแบบนี้ ถ้าชีวิตนี้เป็นแบบนี้เราก็ได้ชีวิตนี้มา เราได้สภาวะแวดล้อมที่ดี เราได้ป่าได้เขาของเรามา แล้วถ้าเราชำระล้างกิเลส ถ้าชำระล้างกิเลส ทำลายป่าเขานี้ทั้งหมด ทำลายป่ารกชัฏทั้งหมดเลย แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว
ป่าเขา ป่ารกชัฏนี้คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม การตัดป่า ตัดป่ารกชัฏ ตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ไม่ได้ตัดป่าแม้แต่ต้นเดียวเลย ไม่ได้ทำสิ่งใดบุบสลายเลย ไม่ได้ทำสิ่งใดกระทบกระเทือนใครเลย แต่ทำลายกิเลส การฆ่ากิเลส ฉะนั้น การฆ่ากิเลส ตัดป่าโดยที่ไม่ได้ตัดต้นไม้นี้ตัดยากนะ เวลาเขาตัดป่าตัดเขา เขาทำลายราบเป็นหน้ากลอง เรารู้เราเห็นได้หมดเลย แต่เวลาเราตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นนามธรรม มันตัดอย่างไรล่ะ?
ถ้ามันจะตัดอย่างไร เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา เพราะสิ่งที่เป็นนามธรรม กิเลสเป็นนามธรรม ใจเราก็เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม พอเวลาเวียนตายเวียนเกิดมันได้รูปธรรมมา เวลาเกิดมานี่ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ มันเกิดแล้วเราถึงได้สถานะนี้มา พอได้สถานะนี้มา นี่ผลของวัฏฏะ ผลของเวร ผลของกรรม เพราะเราทำดีเกิดดี ทำชั่วเกิดชั่ว นี่ผลของกรรม นี่คือผลของมัน
ถ้าผลของมัน เห็นไหม เราได้ผลนี้มาเราก็ได้ชาตินี้มา เราได้อายุขัยนี้มา ทีนี้ได้อายุขัยนี้มา ถ้าเราเพลิดเพลินไปกับโลกเราก็อยู่กับโลก ถ้าประสบความสำเร็จทางโลกมันก็ประสบความสำเร็จทางโลก แต่เราประสบความสำเร็จทางโลก แต่เรามีจิตใจ เรามีความรู้สึกนึกคิด เราจะประสบความสำเร็จทางธรรม ประสบความสำเร็จทางธรรมคือควบคุมหัวใจที่เป็นนามธรรมให้อยู่ในอำนาจของเรา
ถ้าอยู่ในอำนาจของเรานะ เรามีสติปัญญาอยู่ในอำนาจของเรามันก็เป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญามันแยกแยะ เห็นไหม เราทำหน้าที่การงานทางโลก เราต้องมีสติปัญญา เราต้องมีปฏิภาณไหวพริบ เราจะประกอบธุรกิจต่างๆ เราต้องควบคุม เราต้องมีนโยบายที่เราจะควบคุมกิจการของเราได้ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา มีสติปัญญา เราจะควบคุมความรู้สึกนึกคิดของเราได้ ควบคุมความรู้สึกนึกคิดเราแล้วจับได้ จับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณได้ แล้วเราแยกแยะ เราใช้ปัญญาแยกแยะ แยกแยะอะไร?
เพราะ! เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็อาศัยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หาผลประโยชน์ของมันเหมือนกัน มันก็อาศัยความรู้สึกนึกคิดของเรานี่แหละไปหาสิ่งต่างๆ เข้ามาเผาลนมัน เรามีสติปัญญา ก็เอาสติปัญญา เอาความรู้สึกนึกคิดมาตีแผ่ มาตีแผ่ว่าคิดอย่างนี้ถูกต้องไหม? ถ้ามันคิดถูกต้องแล้ว นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกิดขึ้นมาอย่างใด? มันมีอะไรยุแหย่มัน? มันเกิดขึ้นมา
ถ้ามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูสิเวลาพระอรหันต์นะ นี่สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วน ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ นี่เป็นภาระ มันเป็นภาระที่จะดำรงชีวิตนี้ให้มันสิ้นอายุขัยนี้ไป แต่ถ้าเราเป็นปุถุชน นี่ขันธมาร ขันธ์นี้เป็นมาร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นมาร เพราะมันมีมารไง
นี่ถ้าขันธมาร ความคิดก็เป็นมาร รูปก็เป็นมาร เป็นมารเพราะอะไร? เพราะไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ไม่มีสิ่งใดพอใจสักอย่างหนึ่ง นี่ขันธมาร แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลส เห็นไหม ตีแผ่เอารูป รส กลิ่น เสียง เอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาพิจารณาแยกแยะแล้วจนทำลายหมด นี่ตัดป่า ทำลายพญามาร ทำลายสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากออกทั้งหมด นี่มันก็เป็นภาระเฉยๆ
ฉะนั้น ความคิด นี่ความคิดเหมือนกัน ความคิดอันหนึ่งมีความคิดที่เป็นมาร เอาแต่ความทุกข์ร้อน เอาแต่ความรู้สึกนึกคิดมาเบียดเบียนตน ความคิดอันหนึ่ง ความคิดอันหนึ่งเป็นมรรค เป็นมรรคคือว่ากำลังต่อสู้แก้ไขกัน กำลังต่อสู้แก้ไขกัน ที่เราภาวนากัน เราพยายามปฏิบัติกันปฏิบัติตรงนี้ไง ถ้าปฏิบัติตรงนี้ เห็นไหม เวลามรรค มรรคคือทางเอก มรรคคือมัคโค ทางอันเอกที่เขาจะเข้าไปชำระล้าง ถ้าชำระล้าง สิ่งนี้เป็นนามธรรมทั้งหมด
เราประสบความสำเร็จทางโลกแล้ว ทางโลกเราก็ต้องมีสติปัญญา เราก็ต้องใช้บริหารจัดการเหมือนกัน เวลาทางธรรมนะ เวลามันเข้าไปแล้วมันละเอียดลึกซึ้ง ลึกซึ้งเพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม ทางโลกมันยังมีบัญชี มันมีการตรวจสอบต่างๆ มันรู้ว่าใครคดใครโกงได้ทั้งหมดแหละ แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเบียดเบียนเรา มันคดโกงเรา เราไม่มีสิ่งใดที่ไปตรวจสอบมัน
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา สติปัญญาจะไปตรวจสอบความคิด ตรวจสอบความคิด เราเห็นโทษของมันเอง เห็นโทษว่าโทษนี้มันเกิดจากอะไร? เกิดจากเราโง่เอง เกิดจากเราไม่ทันความคิดของเราเอง พอเราทันความคิดของเรา เห็นไหม เราเอาความคิดมาแยกแยะอีก ความคิดมันมีสิ่งใด? นี่สิ่งที่ว่าเป็นมารๆ ความคิดที่เป็นมาร มันทำไมถึงเป็นมาร มันเป็นมารของมันเพราะอะไร? เพราะเวลามันคิดเราก็ตามความคิดไป เร่าร้อนไปกับมัน แต่ถ้าเวลาเราพิจารณาของเราไปแล้ว นี่ความคิดมันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ และมันก็ดับไป เวลามันเกิดขึ้นมันก็เผาลน ตั้งอยู่มันก็เผาลน ดับไปแล้วมันไปไหนล่ะ? มันไปไหน?
นี่พูดถึงถ้าเห็นความจริง เอ๊ะ! เราโง่ๆ พิจารณาแยกแยะๆ ขนาดไหน ถ้าพิจารณาแยกแยะไปบ่อยครั้งเข้า พิจารณาเข้าไป แยกแยะเข้าไป มันจะไปเห็นแล้วมันสังเวชนะ พอสังเวชมันก็ปล่อย พอปล่อยนี่ตทังคปหาน ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ปล่อยแล้วปล่อยเล่า พอถึงที่สุดนะมันขาด! เวลาขาดขึ้นมานี่ความคิดทุกอย่างมันอยู่ของมันปกตินี่แหละ แต่เวลาขาดสังโยชน์มันขาดไป สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
สักกายทิฏฐิคือทิฏฐิ ทิฏฐิที่มันหลงผิด มันก็ยึดมั่นของมันว่านี่เป็นเราๆ สรรพสิ่งเป็นเรา เพราะมันมีสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่ความเห็นผิดไง แล้วปัญญานี้เข้าไปแยกแยะให้มันเห็นถูกไง พอมันเห็นถูกแล้ว พอเห็นถูกมันก็ปล่อยวางเฉยๆ ไง มันไม่ถึงที่สุดไง แต่เพราะปัญญามันรอบ ทุกอย่างมันรอบพร้อม มันขาด เวลามันขาด เห็นไหม ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ นี่เวลาขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันแยกของมัน มันแยกของมัน เห็นไหม
นี่ไงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธศาสนาไม่ให้เชื่อใคร กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครเลย ให้เชื่อความจริงที่มันเป็นขึ้นมา ความจริงที่เป็นขึ้นมามันมีคุณสมบัติอย่างใด? สมบัติอย่างเริ่มต้นมันก็เชื่อของมัน ถ้าสมบัติมันดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นมันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ ใจดวงนี้เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันถึงมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ปัญญาถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เราเกิดในสภาวะแวดล้อมที่ดี เกิดมาจิตใจของเราก็มีสิ่งที่มีความดีงามในหัวใจ ถ้าเราไม่มีความดีงามในหัวใจนะ เราจะไม่รักษาชีวิตเราให้อยู่ในร่องในรอยอย่างนี้ มีศีลธรรมจริยธรรมในจิตใจของเรา เพื่อให้จิตใจของเรามีความร่มเย็นเป็นสุขพอสมควร เอวัง